ฮอร์โมนเป็นตัวกำหนดความเป็นหนุ่มสาวในร่างกายของคนเรา ในผู้หญิงฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญต่อชีวิต คือ ฮอร์โมนเอสโตรเจน สำหรับผู้ชายฮอร์โมนที่มีผลต่อสมรรถภาพ และความแข็งแรงของร่างกาย คือ ฮอร์โมนที่ชื่อว่า "แอนโดรเจน"
ถึงแม้ว่าโดยธรรมชาติผู้ชายจะแก่ช้ากว่าผู้หญิง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ผู้ชายจะไม่มีวันแก่ หรือจะอยู่เป็นหนุ่มสองพันปีแต่เพียงฝ่ายเดียวตลอดไป ผู้ชายจะต้องผ่านวัยแห่งความเสื่อมถอยนี้ด้วยเช่นกัน แต่อาจจะไม่ชัดเจนเท่าผู้หญิงที่มีประจำเดือนเป็นตัวบ่งชี้ในการก้าวสู่วัยทอง ความจริง เรื่องของผู้ชายวัยทองไม่ใช่เรื่องใหม่ในทางการแพทย์แต่คงเป็นเพราะผู้ชายแทบทุกคนให้ความสำคัญกับเรื่องสมรรถภาพทางเพศ ว่าเป็นเรื่องสำคัญและยิ่งใหญ่ในชีวิตที่แสดงถึงความเป็นชายชาตรีที่สมบูรณ์ ดังนั้น เมื่อผู้ชายยุคนี้มีปัญหาเรื่องสมรรถภาพทางเพศลดลงเพิ่มมากขึ้น (อันเนื่องมาจากวัยและปัจจัยอื่นๆ) เรื่องของผู้ชายวัยทองจึงถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุย และกล่าวถึงกันมากในช่วง ๒-๓ ปีที่ผ่านมา ถึงขนาดที่องค์การอนามัยโลกได้ให้การสนับสนุนจัดตั้งชมรมผู้ชายวัยทองนานาชาติขึ้น โดยมีนายแพทย์บรูโน ลูเนนเฟลด์ สูตินรีแพทย์ชื่อดังชาวอิสราเอล เป็นประธานชมรม
ในบ้านเราตอนนี้เรื่องผู้ชายวัยทองกำลังได้รับความสนใจมากเช่นกัน บางคนสงสัยว่าผู้ชายไม่ได้มีประจำเดือนสักหน่อย ทำไมถึงเรียกว่าเป็นวัยหมดประจำเดือนเหมือนผู้หญิงด้วยล่ะ บ้างก็ยังไม่อยากยอมรับว่าตัวเองได้ย่างเข้าสู่วัยเสื่อมถอยแล้ว (แม้ภายนอกจะดูหนุ่มอยู่เพราะเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย) แต่สุดท้ายก็หนีความจริงไปไม่ได้ว่าทุกคนต้องแก่กันทั้งนั้น อยู่ที่จะช้าหรือเร็ว หรือแต่ละคนดูแลตัวเองดีมากน้อยแค่ไหน
อาการวัยทอง : ผู้หญิง-ผู้ชายไม่ต่างกัน
การเปลี่ยนแปลงชีวิตสู่วัยทองของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน ในทางการแพทย์เชื่อว่าถ้าพ่อแม่เข้าสู่วัยทองเร็ว ลูกๆ ก็ถึงวัยทองเร็วกว่าปกติด้วย โดยเฉลี่ยผู้หญิงจะเข้าสู่วัยทองระหว่างอายุประมาณ ๔๘-๕๒ ปี และสำหรับผู้ชายเองก็ไม่ได้แตกต่างจากผู้หญิงมากนัก ฮอร์โมนเอสโตรเจนของผู้หญิงสร้างจากรังไข่ เมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนที่ฮอร์โมนขาดไปและไม่มีการตกไข่ ทางการแพทย์จะเรียกหญิงวัยทองว่า เมโนพอส (menopause) ส่วนผู้ชาย ฮอร์โมนแอนโดรเจนจะสร้างจากอัณฑะและมีมากในวัยเจริญพันธุ์ เมื่ออายุมากขึ้นฮอร์โมนแอนโดรเจนจะน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจของผู้ชาย (ทันทีหรือค่อยเป็นค่อยไป) ไม่แตกต่างไปจากผู้หญิง ทางการแพทย์เรียกผู้ชายวัยทองว่า "แอนโดรพอส" (andropause)
อาการที่พบได้ในผู้ชายวัยทอง คือ เครียด หงุดหงิด โกรธง่ายเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เหงื่อออกมาก สมาธิลดลง นอนไม่ค่อยหลับ กำลังวังชาลดลง โครงสร้างของร่างกาย เช่น กระดูกต่างๆ เริ่มเสื่อมถอย (แม้จะไม่ชัดเจนเหมือนผู้หญิง) มีความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ กระดูกพรุน ต่อมลูกหมากโต ปัสสาวะออกลำบาก สมรรถภาพทางเพศลดลง ซึ่งเรื่องนี้แหละที่ผู้ชายส่วนใหญ่วิตกกังวลกันมากเป็นพิเศษ การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของผู้ชายวัยทองที่เห็นได้ชัดอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ การเผาผลาญไขมันจะลดลง จึงทำให้มีไขมันส่วนเกินได้ง่าย ดังนั้นผู้ชายวัยทองจึงมักจะลงพุง กล้ามเนื้อลีบเล็กลง แข็งแรงน้อยลง และผมบางมากขึ้น
ปัจจัยที่ทำให้ฮอร์โมนเพศชายลดลงเร็วกว่าปกติ
นอกจากอายุซึ่งเป็นปัจจัยทางธรรมชาติที่ทำให้ระดับฮอร์โมนเพศชายลดลงแล้ว ปัจจุบันยังมีปัจจัยเสริมอื่นๆ อีกมากมายที่ทำให้ผู้ชายเข้าสู่วัยทองเร็วกว่าปกติ นั่นคือ
- เรื่องของกรรมพันธุ์ถึงแม้ว่าโดยธรรมชาติผู้ชายจะแก่ช้ากว่าผู้หญิง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ผู้ชายจะไม่มีวันแก่ หรือจะอยู่เป็นหนุ่มสองพันปีแต่เพียงฝ่ายเดียวตลอดไป ผู้ชายจะต้องผ่านวัยแห่งความเสื่อมถอยนี้ด้วยเช่นกัน แต่อาจจะไม่ชัดเจนเท่าผู้หญิงที่มีประจำเดือนเป็นตัวบ่งชี้ในการก้าวสู่วัยทอง ความจริง เรื่องของผู้ชายวัยทองไม่ใช่เรื่องใหม่ในทางการแพทย์แต่คงเป็นเพราะผู้ชายแทบทุกคนให้ความสำคัญกับเรื่องสมรรถภาพทางเพศ ว่าเป็นเรื่องสำคัญและยิ่งใหญ่ในชีวิตที่แสดงถึงความเป็นชายชาตรีที่สมบูรณ์ ดังนั้น เมื่อผู้ชายยุคนี้มีปัญหาเรื่องสมรรถภาพทางเพศลดลงเพิ่มมากขึ้น (อันเนื่องมาจากวัยและปัจจัยอื่นๆ) เรื่องของผู้ชายวัยทองจึงถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุย และกล่าวถึงกันมากในช่วง ๒-๓ ปีที่ผ่านมา ถึงขนาดที่องค์การอนามัยโลกได้ให้การสนับสนุนจัดตั้งชมรมผู้ชายวัยทองนานาชาติขึ้น โดยมีนายแพทย์บรูโน ลูเนนเฟลด์ สูตินรีแพทย์ชื่อดังชาวอิสราเอล เป็นประธานชมรม
ในบ้านเราตอนนี้เรื่องผู้ชายวัยทองกำลังได้รับความสนใจมากเช่นกัน บางคนสงสัยว่าผู้ชายไม่ได้มีประจำเดือนสักหน่อย ทำไมถึงเรียกว่าเป็นวัยหมดประจำเดือนเหมือนผู้หญิงด้วยล่ะ บ้างก็ยังไม่อยากยอมรับว่าตัวเองได้ย่างเข้าสู่วัยเสื่อมถอยแล้ว (แม้ภายนอกจะดูหนุ่มอยู่เพราะเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย) แต่สุดท้ายก็หนีความจริงไปไม่ได้ว่าทุกคนต้องแก่กันทั้งนั้น อยู่ที่จะช้าหรือเร็ว หรือแต่ละคนดูแลตัวเองดีมากน้อยแค่ไหน
อาการวัยทอง : ผู้หญิง-ผู้ชายไม่ต่างกัน
การเปลี่ยนแปลงชีวิตสู่วัยทองของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน ในทางการแพทย์เชื่อว่าถ้าพ่อแม่เข้าสู่วัยทองเร็ว ลูกๆ ก็ถึงวัยทองเร็วกว่าปกติด้วย โดยเฉลี่ยผู้หญิงจะเข้าสู่วัยทองระหว่างอายุประมาณ ๔๘-๕๒ ปี และสำหรับผู้ชายเองก็ไม่ได้แตกต่างจากผู้หญิงมากนัก ฮอร์โมนเอสโตรเจนของผู้หญิงสร้างจากรังไข่ เมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนที่ฮอร์โมนขาดไปและไม่มีการตกไข่ ทางการแพทย์จะเรียกหญิงวัยทองว่า เมโนพอส (menopause) ส่วนผู้ชาย ฮอร์โมนแอนโดรเจนจะสร้างจากอัณฑะและมีมากในวัยเจริญพันธุ์ เมื่ออายุมากขึ้นฮอร์โมนแอนโดรเจนจะน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจของผู้ชาย (ทันทีหรือค่อยเป็นค่อยไป) ไม่แตกต่างไปจากผู้หญิง ทางการแพทย์เรียกผู้ชายวัยทองว่า "แอนโดรพอส" (andropause)
อาการที่พบได้ในผู้ชายวัยทอง คือ เครียด หงุดหงิด โกรธง่ายเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เหงื่อออกมาก สมาธิลดลง นอนไม่ค่อยหลับ กำลังวังชาลดลง โครงสร้างของร่างกาย เช่น กระดูกต่างๆ เริ่มเสื่อมถอย (แม้จะไม่ชัดเจนเหมือนผู้หญิง) มีความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ กระดูกพรุน ต่อมลูกหมากโต ปัสสาวะออกลำบาก สมรรถภาพทางเพศลดลง ซึ่งเรื่องนี้แหละที่ผู้ชายส่วนใหญ่วิตกกังวลกันมากเป็นพิเศษ การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของผู้ชายวัยทองที่เห็นได้ชัดอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ การเผาผลาญไขมันจะลดลง จึงทำให้มีไขมันส่วนเกินได้ง่าย ดังนั้นผู้ชายวัยทองจึงมักจะลงพุง กล้ามเนื้อลีบเล็กลง แข็งแรงน้อยลง และผมบางมากขึ้น
ปัจจัยที่ทำให้ฮอร์โมนเพศชายลดลงเร็วกว่าปกติ
นอกจากอายุซึ่งเป็นปัจจัยทางธรรมชาติที่ทำให้ระดับฮอร์โมนเพศชายลดลงแล้ว ปัจจุบันยังมีปัจจัยเสริมอื่นๆ อีกมากมายที่ทำให้ผู้ชายเข้าสู่วัยทองเร็วกว่าปกติ นั่นคือ
- การทำงานหนัก และพักผ่อนน้อย
- มีความเครียดตลอดเวลา
- ความอ้วน
- การขาดสารอาหารบางชนิด (เช่น แร่ธาตุสังกะสี เบต้าแคโรทีน)
- การดื่มเหล้า สูบบุหรี่
- มีโรคเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน ความดันเลือดสูง ไตวาย ฯลฯ)
- การกินยาบางชนิด (เช่น ยารักษาไทรอยด์)
- การออกกำลังกายที่มากเกินไป เป็นต้น
สรุปได้ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้ร่างกายเสื่อมถอยเร็ว จะทำให้มีการหมดฮอร์โมนเร็วขึ้นด้วยเช่นกัน
ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ชายวัยทอง
ฮอร์โมนเพศชายมีหน้าที่ช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย ทำให้การกระจายตัวของไขมันเป็นปกติ เมื่อฮอร์โมนดังกล่าวลดลง จะทำให้ไขมันในเลือดสูง หลอดเลือดอุดตันได้ง่าย ดังนั้นผู้ชายวัยทองจึงมักจะลงพุง และเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกี่ยวกับระบบหลอดเลือด (โรคหัวใจ อัมพาต) ได้มาก ขณะเดียวกันฮอร์โมนเพศที่ลดลง จะทำให้ผู้ชายมีอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ไม่มีอารมณ์ที่จะมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งถ้าหากผู้ชายคนไหนที่ยึดถือเอาเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญยิ่งใหญ่ในชีวิต ภาวะดังกล่าว ก็จะมีผลต่อจิตใจ ความรู้สึก และการดำเนินชีวิตครอบครัวมากทีเดียว โดยเฉพาะถ้าไม่มีการพูดคุยให้เข้าใจกันทั้ง ๒ ฝ่าย ในระยะยาวผลของการขาดฮอร์โมนเพศชายจะทำให้กระดูกบางลง เป็นโรคกระดูกพรุนได้เช่นเดียวกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนทำให้เกิดภาวะกระดูกหักได้ง่าย กล้ามเนื้อจะค่อยๆ ลีบเล็กลง โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ชอบออกกำลังกาย
การรักษาอาการของผู้ชายวัยทอง
การรักษาอาการของผู้ชายวัยทองขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะบุคคล ในทางการแพทย์มีวิธีรักษาอยู่หลายวิธีด้วยกัน อันดับแรกจะเป็นการรักษาทางจิตใจก่อน ซึ่งในบางราย การพูดคุยอย่างเดียวก็สามารถ ฟื้นฟูจิตใจของผู้ป่วยได้ หรือบางรายอาจต้องใช้ยาร่วมด้วย การใช้ยาฮอร์โมนเพศชายเสริม มีตั้งแต่ชนิดกินและชนิดเจลทาผิว ฯลฯ ซึ่งหลายๆ วิธีที่กล่าวถึงนี้ ผู้ป่วยไม่ควรไปซื้อมาใช้เอง ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง เพราะอาจมีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ถ้าใช้ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เมื่อไรที่สังเกตว่า ตัวเองเริ่มมีอาการผิดปกติ หรือสงสัยว่าจะเป็นอาการของผู้ชายวัยทองหรือไม่ ขั้นแรกแนะนำว่าควรจะไปพบแพทย์ (ทางด้านอายุรกรรม : หมอตรวจโรคทั่วไป) ให้ตรวจร่างกายทั่วไปก่อนว่ามีปัญหาเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บอะไรซ่อนแฝงอยู่หรือไม่ ที่ทำให้มีผลกระทบต่อสมรรถภาพทางเพศ เช่น โรคเบาหวาน ไทรอยด์ โรคหัวใจ โรคตับ การใช้ยาบางชนิด ฯลฯ ถ้าหากไม่มีปัญหาเรื่องโรคต่างๆ สูติ-นรีแพทย์จะเป็นผู้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องครอบครัว ชีวิตคู่ และแพทย์ทางด้านยูโรวิทยา (ระบบทางเดินปัสสาวะ) จะดูแลรักษาในเรื่องการใช้ยา การเสริมซิลิโคน หรืออื่นๆ
ยืดเวลาแห่งความเป็นหนุ่มให้นานที่สุด
ถึงแม้มนุษย์จะไม่สามารถเอาชนะความเสื่อมถอยได้ แต่ก็พอมีวิธีที่จะยืดเวลาแห่งความเป็นหนุ่ม เป็นสาวให้ยืนยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ภายใต้เงื่อนไขของธรรมชาติเอง นั่นคือ
- มีวินัยในการดำเนินชีวิตที่ดี
- พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย ๖-๘ ชั่วโมง หรือหากนอนหัวค่ำได้จะยิ่งดี เพราะฮอร์โมนเพศชายจะสร้างตอนกลางคืน
- งดสูบบุหรี่ และดื่มเหล้า ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายแทบทุกระบบ
- กินอาหารที่มีประโยชน์ ถูกสัดส่วน ไม่มากหรือน้อยเกินไป กินอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และ ไขมันให้น้อยที่สุด
- มองโลกในแง่ดี พยายามอย่าให้มีความเครียด
- ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ
หลายคนคงทราบดีถึงกฎธรรมชาติข้อหนึ่ง นั่นคือ อวัยวะใดก็ตาม ถ้าหากไม่มีการใช้งานหรือใช้ประโยชน์ จะเสื่อมลงเรื่อยๆ แต่ถ้าหากมีการใช้งานคือออกกำลังกายเป็นประจำ จะทำให้ร่างกาย แข็งแรง ปอดแข็งแรง ระบบประสาทตื่นตัวตลอดเวลา ร่างกายกระฉับกระเฉง สมรรถภาพทางเพศไม่เสื่อมถอยเร็วกว่าวัยอันควร แต่ดูเหมือนวิธีง่ายๆ ที่ได้ผลที่สุด กลับมีคนปฏิบัติตามได้น้อย ส่วนใหญ่มักจะละเลยตัวเองจนเกิดปัญหา แล้วจึงค่อยหาวิธีแก้ไขภายหลัง ซึ่งหลายๆ ครั้ง หลายๆ กรณีบางทีก็สายเกินแก้ไขได้ สำหรับผู้ที่สามารถจัดการกับชีวิตได้เหมาะสมลงตัว บางทีคุณอาจก้าวข้ามวัยทองของชีวิตไปโดยไม่มีปัญหาอะไรเลยก็ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น