เหงื่อจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อร่างกายสัมผัสกับสิ่งกระตุ้น 2 อย่าง คือ ความร้อน และอารมณ์ ในทางการแพทย์ระบุว่า เหงื่อสามารถบ่งบอกอาการของโรคบางชนิดได้
ในนิตยสาร "ชีวจิต" ฉบับ พ.ย. พ.ญ.เมทินี ไชยชนะ แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป โรงพยาบาลฝาง จ.เชียงใหม่ อธิบายว่า โรคที่สัมพันธ์กับเหงื่อมี 2 ประเภท คือ
1.โรคที่ทำให้เหงื่อออกมาก
เครียด เหงื่อจะออกมากบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า รักแร้ และหน้าผาก ประกอบกับมีอาการอื่นร่วม เช่น ชีพจรเต้นเร็ว ใจสั่น มือสั่น
ต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ หรือ คอพอก เหงื่อจะซึมออกมาทั่วตัว โดยเฉพาะบริเวณฝ่ามือทั้งสองข้าง ร่วมกับมีอาการขี้หงุดหงิด มือสั่น ขี้ตกใจ น้ำหนักลด ตาโปน ผมร่วง เหนื่อยง่าย ใจสั่น หิวน้ำบ่อย
วัณโรค เหงื่อออกมากทั่วตัวในเวลากลางคืน สลับกับเป็นไข้ ไอเรื้อรัง
เบาหวาน เหงื่อซึมทั่วตัว โดยเฉพาะที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า ใจสั่น เหนื่อยหอบ หวิวๆ เหมือนจะเป็นลม
โรคหัวใจ เหงื่อแตก ร่วมกับใจสั่น เหนื่อยหอบ ขณะออกกำลังกาย หากมีอาการแน่นที่คอและหน้าอก เหงื่อออกตามนิ้วมือนิ้วเท้าทุกครั้งที่ออกกำลังกาย มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจสูง
ภาวะใกล้หมดประจำเดือน เนื่องจากสมองหลั่งฮอร์โมนเพศหญิง "โพรเจสเทอโรน" น้อยลง เหงื่อจะออกมากในเวลากลางคืน
2.โรคที่ทำให้เหงื่อออกน้อย
ผู้ที่เหงื่อออกน้อยผิดปกติ เนื่องจากต่อมเหงื่อทำงานบกพร่อง มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความร้อนในร่างกายสูง อาจก่อให้เกิดโรคตามมาดังนี้
โรคผิวหนัง เช่น ผด ผื่น สะเก็ดเงิน ผิวแห้งแตกหยาบ เนื่องจากต่อมเหงื่อใต้ผิวหนังถูกกดไว้จนไม่สามารถขับเหงื่อได้ตามปกติ ทำให้เกิดอาการอุดตันในขุมขนและเป็นโรคได้ในที่สุด
ไมเกรน คนที่มีความเครียดเป็นทุนเดิม ชีพจรเต้นเร็วกว่าปกติ ทำให้เกิดการใช้พลังงานมากกว่าปกติ หากร่างกายได้รับการกระตุ้นจนเกิดความร้อนสะสมแต่กลับไม่มีเหงื่อออกมา อาจทำให้ใจสั่น นอนไม่หลับ เกิดภาวะปวดศีรษะอย่างรุนแรงจนเป็นไมเกรน
คุณหมอเมทินี เสริมว่า โรคที่ทำให้เกิดความผิดปกติของเหงื่อใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ต้องมีปัจจัยอื่นร่วมอีกหลายอย่าง แต่มีทางป้องกันได้ ด้วยการหมั่นดูแลสุขภาพตัวเอง ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1 ลิตร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเหงื่อของร่างกาย และเลือกสถานที่อยู่ให้เหมาะสม ไม่ร้อนหรือแห้งเกินไป จะช่วยป้องกันโรคอันเกิดจากต่อมเหงื่อทำงานบกพร่องได้
It's Me
วันพุธ
เคล็ดลับทำความสะอาดทอง
ในยุคที่ทองเขยิบเข้าไปใกล้บาทละ 25,000 ทุกขณะ ใครมีไว้ในครอบครองคงต้องระวังรักษาให้ดี วันนี้จึงมีเคล็ดลับการทำความสะอาดเครื่องประดับทองมาบอก
เครื่องประดับที่ทำจากทองคำ ไม่ว่าจะเป็น สร้อยคอ กำไลข้อมือ ต่างหู แหวน ใส่ไปนาน ๆ เข้า ก็อาจจะมีหมองจนดูไม่น่ามอง หากยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ลองอ่านคำแนะนำต่อไปนี้
วิธีแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน
** ให้ใส่อาบน้ำ ให้ทองได้ถูกน้ำสบู่บ้าง เครื่องทองก็จะไม่ค่อยหมองแล้ว หรือให้แช่ในน้ำมะนาวข้ามคืน แล้วใช้แปรงขนอ่อนขัดเบา ๆ เสร็จแล้วเช็ดให้แห้ง นำไปคลุกกับแป้งฝุ่น แล้วใช้ผ้านุ่มเช็ดซ้ำ ก็จะได้ทองแวววาวคืนมา หรือจะลองขัดกับน้ำมะขามเปียกก็ได้ แล้วล้างน้ำเปล่าให้สะอาด เช็ดให้แห้ง ก็ได้ผลเช่นกัน
อีกวิธีที่ปลอดภัยสุด ๆ
**ให้ใช้ผ้านุ่มเช็ดฝุ่นที่ติดตามทองออก แล้วแช่ในน้ำอุ่นที่ผสมกับน้ำยาซักล้างอ่อน ๆ หากสีทองหมองลง ควรล้างด้วยน้ำยาล้างทอง หรืออาจใช้น้ำยาล้างจานผสมน้ำอุ่น ถูเบา ๆ หากสีหมองมาก และเป็นเครื่องประดับที่มีลวดลายละเอียด ควรแช่ในน้ำเดือด ผสมโซเดียมไบคาร์บอเนตหนึ่งหยิบมือ แช่ทีละชิ้นประมาณ 30 วินาที จากนั้นซับให้แห้งด้วยผ้านิ่ม แต่ในกรณีที่เครื่องประดับมีพลอยตกแต่งอยู่ ไม่ควรใช้วิธีนี้ เพราะอาจทำให้พลอยร้าวได้
เคล็ดลับต่อมา
**ให้ลองใช้แอมโมเนียครึ่งถ้วย ผสมกับนํ้าอุ่น 1 ถ้วย แล้วแช่ไว้ 10-15 นาที ใช้แปรงขนอ่อนขัด ล้างน้ำให้สะอาด เช็ดให้แห้ง เพียงเท่านี้เครื่องประดับทองคำ ก็จะสุกใส น่าสวมใส่แล้ว แต่ต้องหลีกเลี่ยงวิธีนี้หากเครื่องประดับชิ้นนั้นมีไข่มุกอยู่ด้วย เพราะแอมโมเนียจะทำลายผิวของไข่มุก
อย่าใส่เครื่องประดับทองคำลงว่ายน้ำในสระหรือแช่อ่างจากุชชี่ เพราะคลอรีนในน้ำอาจทำลายผิวของทอง หรือทำให้หนามเตยที่ไว้เกี่ยวคลายออกได้ นอกจากนั้นโลชั่นหรือสเปรย์ต่าง ๆ ก็มีส่วนทำให้ความแวววาวของทองคำลดลงเช่นกัน เพราะทำให้เกิดชั้นไขมันเคลือบผิวทองไว้ ดังนั้นเวลาใช้เครื่องสำอางเหล่านี้ ระวังอย่าให้โดนเครื่องประดับที่ทำจากทอง
เวลาที่เก็บเครื่องประดับที่เป็นทองคำ ควรหุ้มด้วยสำลีหรือผ้านิ่ม ๆ ห่อแยกชิ้น ไม่เช่นนั้น แต่ละชิ้นอาจขูดขีดกันจนมีตำหนิได้ แล้วเก็บใส่กล่องที่เหมาะสมอีกทีหนึ่ง.
เครื่องประดับที่ทำจากทองคำ ไม่ว่าจะเป็น สร้อยคอ กำไลข้อมือ ต่างหู แหวน ใส่ไปนาน ๆ เข้า ก็อาจจะมีหมองจนดูไม่น่ามอง หากยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ลองอ่านคำแนะนำต่อไปนี้
วิธีแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน
** ให้ใส่อาบน้ำ ให้ทองได้ถูกน้ำสบู่บ้าง เครื่องทองก็จะไม่ค่อยหมองแล้ว หรือให้แช่ในน้ำมะนาวข้ามคืน แล้วใช้แปรงขนอ่อนขัดเบา ๆ เสร็จแล้วเช็ดให้แห้ง นำไปคลุกกับแป้งฝุ่น แล้วใช้ผ้านุ่มเช็ดซ้ำ ก็จะได้ทองแวววาวคืนมา หรือจะลองขัดกับน้ำมะขามเปียกก็ได้ แล้วล้างน้ำเปล่าให้สะอาด เช็ดให้แห้ง ก็ได้ผลเช่นกัน
อีกวิธีที่ปลอดภัยสุด ๆ
**ให้ใช้ผ้านุ่มเช็ดฝุ่นที่ติดตามทองออก แล้วแช่ในน้ำอุ่นที่ผสมกับน้ำยาซักล้างอ่อน ๆ หากสีทองหมองลง ควรล้างด้วยน้ำยาล้างทอง หรืออาจใช้น้ำยาล้างจานผสมน้ำอุ่น ถูเบา ๆ หากสีหมองมาก และเป็นเครื่องประดับที่มีลวดลายละเอียด ควรแช่ในน้ำเดือด ผสมโซเดียมไบคาร์บอเนตหนึ่งหยิบมือ แช่ทีละชิ้นประมาณ 30 วินาที จากนั้นซับให้แห้งด้วยผ้านิ่ม แต่ในกรณีที่เครื่องประดับมีพลอยตกแต่งอยู่ ไม่ควรใช้วิธีนี้ เพราะอาจทำให้พลอยร้าวได้
เคล็ดลับต่อมา
**ให้ลองใช้แอมโมเนียครึ่งถ้วย ผสมกับนํ้าอุ่น 1 ถ้วย แล้วแช่ไว้ 10-15 นาที ใช้แปรงขนอ่อนขัด ล้างน้ำให้สะอาด เช็ดให้แห้ง เพียงเท่านี้เครื่องประดับทองคำ ก็จะสุกใส น่าสวมใส่แล้ว แต่ต้องหลีกเลี่ยงวิธีนี้หากเครื่องประดับชิ้นนั้นมีไข่มุกอยู่ด้วย เพราะแอมโมเนียจะทำลายผิวของไข่มุก
อย่าใส่เครื่องประดับทองคำลงว่ายน้ำในสระหรือแช่อ่างจากุชชี่ เพราะคลอรีนในน้ำอาจทำลายผิวของทอง หรือทำให้หนามเตยที่ไว้เกี่ยวคลายออกได้ นอกจากนั้นโลชั่นหรือสเปรย์ต่าง ๆ ก็มีส่วนทำให้ความแวววาวของทองคำลดลงเช่นกัน เพราะทำให้เกิดชั้นไขมันเคลือบผิวทองไว้ ดังนั้นเวลาใช้เครื่องสำอางเหล่านี้ ระวังอย่าให้โดนเครื่องประดับที่ทำจากทอง
เวลาที่เก็บเครื่องประดับที่เป็นทองคำ ควรหุ้มด้วยสำลีหรือผ้านิ่ม ๆ ห่อแยกชิ้น ไม่เช่นนั้น แต่ละชิ้นอาจขูดขีดกันจนมีตำหนิได้ แล้วเก็บใส่กล่องที่เหมาะสมอีกทีหนึ่ง.
ยำผักทอดกรอบ
ส่วนผสม
พริกหวาน 3 สี (หั่นเต๋า)
มะเขือเทศราชินี
หอมแดง
พริกขึ้หนู
ต้นหอม
ถั่วป่น
มะนาว
เห็ดเข็มทอง
แครอท
หมูสับ
ไส้กรอกฮอทดอกเครื่องปรุงรส
พริกขี้หนูแห้ง
น้ำพริกเผา
น้ำไข่ลูกเขย
แป้งทอดกรอบโกกิ ผสมน้ำเย็น
มะเขือเทศราชินี
หอมแดง
พริกขึ้หนู
ต้นหอม
ถั่วป่น
มะนาว
เห็ดเข็มทอง
แครอท
หมูสับ
ไส้กรอกฮอทดอกเครื่องปรุงรส
พริกขี้หนูแห้ง
น้ำพริกเผา
น้ำไข่ลูกเขย
แป้งทอดกรอบโกกิ ผสมน้ำเย็น
วิธีทำ1.เริ่มจากนำเห็ดเข็มทอง และแครอท ชุบแป้งโกกิแล้วเอาไปทอดก่อนค่ะ
2.พอทอดเสร็จแล้วยกมาจัดใส่จานไว้ก่อนค่ะ
2.พอทอดเสร็จแล้วยกมาจัดใส่จานไว้ก่อนค่ะ
3.นำหมูสับ และฮอทดอกไปลวกให้สุก
4.จัดการส่วนผสมเสร็จแล้ว ก็มาทำน้ำยำกันดีกว่าค่ะ เริ่มจากน้ำไข่ลูกเขยที่มีรสเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ กลมกล่อมอยู่แล้ว มาปรุงเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยโดยบีบมะนาวเพิ่ม 1 ลูก ตามด้วยพริกขี้หนู น้ำพริกเผา และพริกขี้หนูแห้ง (เพิ่มความหอม)
5.ผสมให้เข้ากัน แล้วลองชิมรสชาติดู
6.ใส่ถั่วป่น และผักต่าง ๆ ที่เตรียมไว้ลงไปค่ะ
7.ตามด้วยหมูสับ กับฮอทดอก ผสมลงไป
8.คลุกส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน ใกล้จะเสร็จแล้ว
9.ราดน้ำยำลงบนผักทอดที่เตรียมไว้ค่ะ เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว
10 วิธีเพื่อเล็บสวยสุขภาพดี
เล็บมือและเล็บเท้าของเรา ถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มือและเท้าของเราดูสะอาด มีสุขภาพดีได้ การดูแลสุขภาพเล็บ จึงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนพึงกระทำให้เป็นกิจวัตร พอ ๆ กับการดูแลสุขภาพผิวของเราเองนั่นแหละค่ะ โดยเฉพาะสาว ๆ ที่ชอบทาเล็บ แต่งเล็บแล้ว ยิ่งต้องบำรุงเล็บกันให้มากกว่าคนทั่วไปเลยทีเดียวล่ะ เพราะถ้าหากเล็บเหลือง หรือเล็บเสียมา เวลาที่คุณหยิบจับอะไรก็จะเป็นที่สังเกตที่เห็นได้ชัด วันนี้ เลยมีวิธีดูแลสุขภาพเล็บ 10 วิธีมาฝากกัน
1. ทานอาหารให้มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารจำพวกผักผลไม้ ควรเติมเต็มให้ร่างกายอย่าให้ขาด เพราะไม่อย่างนั้นเล็บของคุณอาจมีรอยฝ้า หรือมีหลุมเล็ก ๆ ซึ่งบ่งบอกสุขภาพของคุณได้เป็นอย่างดี
2. เน้นวิตามินบี เหล็ก และแคลเซียม ในอาหารแต่ละมื้อ เพราะสารอาหารทั้งสามตัวนี้จะช่วยฟื้นฟูเล็บ ทำให้เล็บมีสุขภาพดี ที่สำคัญคือวิตามินอีอย่าให้ขาด เพราะทำให้เล็บสวยจ้า
3. อย่ากัดเล็บ เพราะนอกจากจะทำให้เสียบุคลิคภาพแล้ว การกัดเล็บยังทำให้เล็บขาดไม่เรียบร้อย และดูสกปรกได้
4. ใส่ถุงมือทุกครั้งที่ต้องสัมผัสกับสารเคมี เช่น การขัดห้องน้ำ เพราะมันเป็นอันตรายกับทั้งเล็บและมือ ทำให้เล็บอ่อนแอหรือเหลืองได้
5. เพื่อทำให้เล็บแข็งแรงขึ้น ใช้เกลือทะเลครึ่งช้อนโต๊ะผสมกับน้ำ 1 ลิตร และแช่เล็บลงในน้ำเกลือนั้นประมาณ 20 นาที แล้วล้างออก จะช่วยทำให้เล็บแข็งแรงขึ้น
6. เช็ดมือทุกครั้งที่ล้างจาน ว่ายน้ำ หรือแม้แต่เวลาใส่รองเท้า เพราะความชื้นอาจจะทำให้เกิดเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ได้ง่ายกว่า ดังนั้นต้องเช็ดมือทุกครั้ง จะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้เยอะเลย
7. ตัดเล็บและตะไบเล็บให้มนเรียบร้อย เพื่อป้องกันการหมักหมมของสิ่งสกปรก และไม่ให้เล็บคมบาดผิว
8. บำรุงมือและเล็บให้ชุ่มชื้น ด้วยการใช้ครีมบำรุงมือและเล็บโดยเฉพาะ เพื่อสุขภาพที่ดีของมือและเล็บ
9. หากคุณเป็นสาวที่ชื่นชอบการทาเล็บ อย่าลืมลงเบสโคท หรือรองพื้นก่อนทาเล็บทุกครั้ง เพราะจะช่วยบำรุงเล็บ ให้เล็บไม่ถูกสารเคมีจากยาทาเล็บที่อาจจะทำให้เล็บเหลือง แต่อย่างไรก็ดี อย่าลืมใช้น้ำยาล้างเล็บล้างสีทาเล็บออกให้หมด ให้เล็บได้เปลือยบ้างสัปดาห์ละ 2-3 วันค่ะ
10. เลือกยาทาเล็บที่ไม่ทำลายเล็บ สาว ๆ รู้ไหมว่า ยาทาเล็บที่ดีนั้นต้องไม่มีส่วน ผสมของ Acetone หรือก็คือแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้เล็บแห้งและหักง่าย สาว ๆ จึงควรเสียเวลาเล็กน้อย พลิกขวดดูส่วนประกอบของยาทาเล็บ หรือมองหาคำว่า Acetone Free ก็ได้ค่ะ
2. เน้นวิตามินบี เหล็ก และแคลเซียม ในอาหารแต่ละมื้อ เพราะสารอาหารทั้งสามตัวนี้จะช่วยฟื้นฟูเล็บ ทำให้เล็บมีสุขภาพดี ที่สำคัญคือวิตามินอีอย่าให้ขาด เพราะทำให้เล็บสวยจ้า
3. อย่ากัดเล็บ เพราะนอกจากจะทำให้เสียบุคลิคภาพแล้ว การกัดเล็บยังทำให้เล็บขาดไม่เรียบร้อย และดูสกปรกได้
4. ใส่ถุงมือทุกครั้งที่ต้องสัมผัสกับสารเคมี เช่น การขัดห้องน้ำ เพราะมันเป็นอันตรายกับทั้งเล็บและมือ ทำให้เล็บอ่อนแอหรือเหลืองได้
5. เพื่อทำให้เล็บแข็งแรงขึ้น ใช้เกลือทะเลครึ่งช้อนโต๊ะผสมกับน้ำ 1 ลิตร และแช่เล็บลงในน้ำเกลือนั้นประมาณ 20 นาที แล้วล้างออก จะช่วยทำให้เล็บแข็งแรงขึ้น
6. เช็ดมือทุกครั้งที่ล้างจาน ว่ายน้ำ หรือแม้แต่เวลาใส่รองเท้า เพราะความชื้นอาจจะทำให้เกิดเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ได้ง่ายกว่า ดังนั้นต้องเช็ดมือทุกครั้ง จะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้เยอะเลย
7. ตัดเล็บและตะไบเล็บให้มนเรียบร้อย เพื่อป้องกันการหมักหมมของสิ่งสกปรก และไม่ให้เล็บคมบาดผิว
8. บำรุงมือและเล็บให้ชุ่มชื้น ด้วยการใช้ครีมบำรุงมือและเล็บโดยเฉพาะ เพื่อสุขภาพที่ดีของมือและเล็บ
9. หากคุณเป็นสาวที่ชื่นชอบการทาเล็บ อย่าลืมลงเบสโคท หรือรองพื้นก่อนทาเล็บทุกครั้ง เพราะจะช่วยบำรุงเล็บ ให้เล็บไม่ถูกสารเคมีจากยาทาเล็บที่อาจจะทำให้เล็บเหลือง แต่อย่างไรก็ดี อย่าลืมใช้น้ำยาล้างเล็บล้างสีทาเล็บออกให้หมด ให้เล็บได้เปลือยบ้างสัปดาห์ละ 2-3 วันค่ะ
10. เลือกยาทาเล็บที่ไม่ทำลายเล็บ สาว ๆ รู้ไหมว่า ยาทาเล็บที่ดีนั้นต้องไม่มีส่วน ผสมของ Acetone หรือก็คือแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้เล็บแห้งและหักง่าย สาว ๆ จึงควรเสียเวลาเล็กน้อย พลิกขวดดูส่วนประกอบของยาทาเล็บ หรือมองหาคำว่า Acetone Free ก็ได้ค่ะ
วนอุทยานแพะเมืองผี
แพะเมืองผีอยู่บนเนื้อที่ประมาณ 500 ไร่ เกิดจากสภาพภูมิประเทศซึ่งเป็นดิน และหินทรายถูกกัดเซาะตามธรรมชาติเป็นรูปร่างลักษณะต่างๆประวัติความเป็นมา วนอุทยานแพะเมืองผี เป็นหน่วยงานสังกัดสำนักบริหาร จัดการในพื้นที่อนุรักษ์ 13 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ได้มีการประกาศจัดตั้งเป็นวนอุทยาน เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2524 มีเนื้อที่ 167 ไร่ เป็นสถานที่มีความสวยงามด้าน ธรณีวิทยา หน้าผา เสาดิน และเส้นทางศึกษาธรรมชาติ..........."แพะเมืองผี " มีตำนานเล่าขานถึงความศักดิ์สิทธิ์ ความลี้ลับจนเป็นความเชื่อของคนในท้องถิ่นที่บรรพบุรุษได้เล่าสืลต่อกันมาว่า มียายชราคนหนึ่ง เข้าไปในป่าถึงสถานที่แห่งหนึ่งได้พบหลุมเงินหลุมทองยายชราพยายามจะเอาเงิน เอาทองใส่หาบกลับบ้าน แต่เทพยาดาอารักษ์ไม่ให้เอาไปเพียงแต่เอาอวดให้เห็นเท่านั้น พอไปตามชาวบ้านมาดูก้พบแต่รอบเท้า หาบเงิน หาบทอง หายไป ชาวบ้านจึงเรียกสถานที่นี้ว่า "แพะเมืองผี"
ตั้งอยู่ที่ตำบลน้ำชำ ใช้เส้นทางหลวงสายแพร่ - น่าน ทางหลวงหมายเลข 101 ไปประมาณ 12 กิโลเมตร แล้วแยกขวาเข้าไปอีก 6 กิโลเมตร ตั้งอยู่ที่ หมู่ 2 ตำบลน้ำชำ อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ อยู่ห่างจากตัวจังหวัดแพร่ ประมาณ 15 กิโลเมตร
ตั้งอยู่ที่ตำบลน้ำชำ ใช้เส้นทางหลวงสายแพร่ - น่าน ทางหลวงหมายเลข 101 ไปประมาณ 12 กิโลเมตร แล้วแยกขวาเข้าไปอีก 6 กิโลเมตร ตั้งอยู่ที่ หมู่ 2 ตำบลน้ำชำ อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ อยู่ห่างจากตัวจังหวัดแพร่ ประมาณ 15 กิโลเมตร
พระพิฆเนศ ปางนอนเสวยสุข วัดสมานรัตนาราม
วัดสมานรัตนาราม เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดฉะเชิงเทรา ด้วยความสวยงามตระการตาและความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระพิฆเนศ ปางนอนเสวยสุข ซึ่งเป็นพระพิฆเนศองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีลักษณะนั่งกึ่งนอนตะแคงบนฐาน เนื้อองค์พระพิฆเนศเป็นสีชมพู พระหัตถ์ซ้ายถืองาช้างหักพระหัตถ์ขวาถือดอกบัว ฐานด้านล่างล้อมรอบด้วยองค์พระพิฆเนศทั้งสิ้น 32 ปาง
ด้วยความงดงามยิ่งใหญ่ตระการตา ประกอบกับความหมายของพระพิฆเนศ ปางนอนเสวยสุขที่เป็นมงคลยิ่งทำให้นักท่องเที่ยวต่างหลั่งไหลเข้ามาท่องเที่ยวที่เมืองแปดริ้วแห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย
พร้อมเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ซึ่งรวบรวมประวัติความเป็นมาของวัดสมานรัตนารามและเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับองค์พระพิฆเนศให้ได้เรียนรู้กันอีกด้วย
ด้วยความงดงามยิ่งใหญ่ตระการตา ประกอบกับความหมายของพระพิฆเนศ ปางนอนเสวยสุขที่เป็นมงคลยิ่งทำให้นักท่องเที่ยวต่างหลั่งไหลเข้ามาท่องเที่ยวที่เมืองแปดริ้วแห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย
พร้อมเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ซึ่งรวบรวมประวัติความเป็นมาของวัดสมานรัตนารามและเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับองค์พระพิฆเนศให้ได้เรียนรู้กันอีกด้วย
กะหล่ำปลีกับคอพอกเกี่ยวกันจริงหรือไม่
ความเชื่อในเรื่องการกินถือเป็นเรื่องใหญ่ เปลี่ยนวิถีชีวิตคนมามาก ทั้งที่ดีขึ้นและเลวลง อย่างผักชนิดหนึ่งคือกะหล่ำปลี หลายคนเชื่อว่า รับประทานดิบจะทำให้เกิดอาการคอพอกขึ้นได้ จึงเลี่ยงไม่รับประทาน กะหล่ำปลีกับคอพอกเกี่ยวข้องกันจริงหรือไม่?
กะหล่ำปลีจัดอยู่ในอาหารประเภทผักที่ให้ประโยชน์กับร่างกายคือให้วิตามินและแร่ธาตุ โดยเฉพาะกะหล่ำปลีดิบจะมีวิตามินซีสูง คนไทยมักนิยมรับประทานกะหล่ำปลีดิบเป็นผักแกล้ม
แต่ในกะหล่ำปลีดิบมีสารอย่างหนึ่งที่มีชื่อว่า กอยโตรเจน (Goitrogen) เมื่ออยู่ในร่างกายมนุษย์แล้ว กอยโตรเจนจะยับยั้งปฎิกิริยาในเซลล์ของต่อมไทรอยด์ ทำให้สร้างฮอร์โมนไม่ได้ ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำไอโอดีนที่มีอยู่ในอาหารไปใช้ได้ จึงทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคคอพอก แต่อย่าเพิ่งตกใจเกินควร เพราะการจะเกิดปัญหานี้ขึ้นได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ถ้าจะรับประทานกะหล่ำปลีดิบถึงขนาดได้รับสารกอยโตรเจน ต้องรับประทานในปริมาณที่มากและต้องรับประทานเป็นประจำอีกด้วย
ความแตกต่างระหว่างข่าวลือหรือเสียงร่ำลือ กับสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริง คืออย่างนี้นี่เอง เสียงร่ำลือนั้นทำให้เราตีตนไปก่อนไข้ได้ง่าย แต่ข้อเท็จจริงนั้นทำให้เราเตรียมการทุกอย่างรวมทั้งสุขภาพได้อย่างมีสติและถูกต้องโดยไม่มากเกินหรือน้อยเกิน
กะหล่ำปลีจัดอยู่ในอาหารประเภทผักที่ให้ประโยชน์กับร่างกายคือให้วิตามินและแร่ธาตุ โดยเฉพาะกะหล่ำปลีดิบจะมีวิตามินซีสูง คนไทยมักนิยมรับประทานกะหล่ำปลีดิบเป็นผักแกล้ม
แต่ในกะหล่ำปลีดิบมีสารอย่างหนึ่งที่มีชื่อว่า กอยโตรเจน (Goitrogen) เมื่ออยู่ในร่างกายมนุษย์แล้ว กอยโตรเจนจะยับยั้งปฎิกิริยาในเซลล์ของต่อมไทรอยด์ ทำให้สร้างฮอร์โมนไม่ได้ ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำไอโอดีนที่มีอยู่ในอาหารไปใช้ได้ จึงทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคคอพอก แต่อย่าเพิ่งตกใจเกินควร เพราะการจะเกิดปัญหานี้ขึ้นได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ถ้าจะรับประทานกะหล่ำปลีดิบถึงขนาดได้รับสารกอยโตรเจน ต้องรับประทานในปริมาณที่มากและต้องรับประทานเป็นประจำอีกด้วย
ความแตกต่างระหว่างข่าวลือหรือเสียงร่ำลือ กับสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริง คืออย่างนี้นี่เอง เสียงร่ำลือนั้นทำให้เราตีตนไปก่อนไข้ได้ง่าย แต่ข้อเท็จจริงนั้นทำให้เราเตรียมการทุกอย่างรวมทั้งสุขภาพได้อย่างมีสติและถูกต้องโดยไม่มากเกินหรือน้อยเกิน
วันจันทร์
ภาพปริศนา
จงเติมตัวเลข 1-9 ลงในช่องสี่เหลี่ยมที่ว่างอยู่ให้ครบ โดยตัวเลข 1 เติมไว้ให้แล้ว
จากรูป เป็นการใช้ก้านไม้ขีดมาวางเรียงกันให้เป็นตัวเลขโรมัน นั่นคือ 1/7 โจทย์มีอยู่ว่า ให้ทำการเคลื่อนย้ายก้านไม้ขีดเพียงก้านเดียว แล้วทำให้ผลที่ได้มีค่าเท่ากับ 1 โดยที่ไม่ต้องดึงก้านไม้ขีดออก หรือหักก้านไม้ขีด ในรูปเป็นรูปลูกเต๋าแต่ละหน้า ซึ่งมีแต้มตั้งแต่ 1 ถึง 6 ไม่ซ้ำกัน โดยส่วนที่แรเงาเอาไว้คือส่วนที่ตั้งใจจะบังไว้ไม่ให้เห็น ถามว่า หน้าลูกเต๋าที่มีเครื่องหมาย “?” เป็นแต้มอะไร
วัยทอง ความจริงที่ต้องยอมรับ
ฮอร์โมนเป็นตัวกำหนดความเป็นหนุ่มสาวในร่างกายของคนเรา ในผู้หญิงฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญต่อชีวิต คือ ฮอร์โมนเอสโตรเจน สำหรับผู้ชายฮอร์โมนที่มีผลต่อสมรรถภาพ และความแข็งแรงของร่างกาย คือ ฮอร์โมนที่ชื่อว่า "แอนโดรเจน"
ถึงแม้ว่าโดยธรรมชาติผู้ชายจะแก่ช้ากว่าผู้หญิง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ผู้ชายจะไม่มีวันแก่ หรือจะอยู่เป็นหนุ่มสองพันปีแต่เพียงฝ่ายเดียวตลอดไป ผู้ชายจะต้องผ่านวัยแห่งความเสื่อมถอยนี้ด้วยเช่นกัน แต่อาจจะไม่ชัดเจนเท่าผู้หญิงที่มีประจำเดือนเป็นตัวบ่งชี้ในการก้าวสู่วัยทอง ความจริง เรื่องของผู้ชายวัยทองไม่ใช่เรื่องใหม่ในทางการแพทย์แต่คงเป็นเพราะผู้ชายแทบทุกคนให้ความสำคัญกับเรื่องสมรรถภาพทางเพศ ว่าเป็นเรื่องสำคัญและยิ่งใหญ่ในชีวิตที่แสดงถึงความเป็นชายชาตรีที่สมบูรณ์ ดังนั้น เมื่อผู้ชายยุคนี้มีปัญหาเรื่องสมรรถภาพทางเพศลดลงเพิ่มมากขึ้น (อันเนื่องมาจากวัยและปัจจัยอื่นๆ) เรื่องของผู้ชายวัยทองจึงถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุย และกล่าวถึงกันมากในช่วง ๒-๓ ปีที่ผ่านมา ถึงขนาดที่องค์การอนามัยโลกได้ให้การสนับสนุนจัดตั้งชมรมผู้ชายวัยทองนานาชาติขึ้น โดยมีนายแพทย์บรูโน ลูเนนเฟลด์ สูตินรีแพทย์ชื่อดังชาวอิสราเอล เป็นประธานชมรม
ในบ้านเราตอนนี้เรื่องผู้ชายวัยทองกำลังได้รับความสนใจมากเช่นกัน บางคนสงสัยว่าผู้ชายไม่ได้มีประจำเดือนสักหน่อย ทำไมถึงเรียกว่าเป็นวัยหมดประจำเดือนเหมือนผู้หญิงด้วยล่ะ บ้างก็ยังไม่อยากยอมรับว่าตัวเองได้ย่างเข้าสู่วัยเสื่อมถอยแล้ว (แม้ภายนอกจะดูหนุ่มอยู่เพราะเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย) แต่สุดท้ายก็หนีความจริงไปไม่ได้ว่าทุกคนต้องแก่กันทั้งนั้น อยู่ที่จะช้าหรือเร็ว หรือแต่ละคนดูแลตัวเองดีมากน้อยแค่ไหน
อาการวัยทอง : ผู้หญิง-ผู้ชายไม่ต่างกัน
การเปลี่ยนแปลงชีวิตสู่วัยทองของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน ในทางการแพทย์เชื่อว่าถ้าพ่อแม่เข้าสู่วัยทองเร็ว ลูกๆ ก็ถึงวัยทองเร็วกว่าปกติด้วย โดยเฉลี่ยผู้หญิงจะเข้าสู่วัยทองระหว่างอายุประมาณ ๔๘-๕๒ ปี และสำหรับผู้ชายเองก็ไม่ได้แตกต่างจากผู้หญิงมากนัก ฮอร์โมนเอสโตรเจนของผู้หญิงสร้างจากรังไข่ เมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนที่ฮอร์โมนขาดไปและไม่มีการตกไข่ ทางการแพทย์จะเรียกหญิงวัยทองว่า เมโนพอส (menopause) ส่วนผู้ชาย ฮอร์โมนแอนโดรเจนจะสร้างจากอัณฑะและมีมากในวัยเจริญพันธุ์ เมื่ออายุมากขึ้นฮอร์โมนแอนโดรเจนจะน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจของผู้ชาย (ทันทีหรือค่อยเป็นค่อยไป) ไม่แตกต่างไปจากผู้หญิง ทางการแพทย์เรียกผู้ชายวัยทองว่า "แอนโดรพอส" (andropause)
อาการที่พบได้ในผู้ชายวัยทอง คือ เครียด หงุดหงิด โกรธง่ายเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เหงื่อออกมาก สมาธิลดลง นอนไม่ค่อยหลับ กำลังวังชาลดลง โครงสร้างของร่างกาย เช่น กระดูกต่างๆ เริ่มเสื่อมถอย (แม้จะไม่ชัดเจนเหมือนผู้หญิง) มีความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ กระดูกพรุน ต่อมลูกหมากโต ปัสสาวะออกลำบาก สมรรถภาพทางเพศลดลง ซึ่งเรื่องนี้แหละที่ผู้ชายส่วนใหญ่วิตกกังวลกันมากเป็นพิเศษ การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของผู้ชายวัยทองที่เห็นได้ชัดอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ การเผาผลาญไขมันจะลดลง จึงทำให้มีไขมันส่วนเกินได้ง่าย ดังนั้นผู้ชายวัยทองจึงมักจะลงพุง กล้ามเนื้อลีบเล็กลง แข็งแรงน้อยลง และผมบางมากขึ้น
ปัจจัยที่ทำให้ฮอร์โมนเพศชายลดลงเร็วกว่าปกติ
นอกจากอายุซึ่งเป็นปัจจัยทางธรรมชาติที่ทำให้ระดับฮอร์โมนเพศชายลดลงแล้ว ปัจจุบันยังมีปัจจัยเสริมอื่นๆ อีกมากมายที่ทำให้ผู้ชายเข้าสู่วัยทองเร็วกว่าปกติ นั่นคือ
- เรื่องของกรรมพันธุ์ถึงแม้ว่าโดยธรรมชาติผู้ชายจะแก่ช้ากว่าผู้หญิง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ผู้ชายจะไม่มีวันแก่ หรือจะอยู่เป็นหนุ่มสองพันปีแต่เพียงฝ่ายเดียวตลอดไป ผู้ชายจะต้องผ่านวัยแห่งความเสื่อมถอยนี้ด้วยเช่นกัน แต่อาจจะไม่ชัดเจนเท่าผู้หญิงที่มีประจำเดือนเป็นตัวบ่งชี้ในการก้าวสู่วัยทอง ความจริง เรื่องของผู้ชายวัยทองไม่ใช่เรื่องใหม่ในทางการแพทย์แต่คงเป็นเพราะผู้ชายแทบทุกคนให้ความสำคัญกับเรื่องสมรรถภาพทางเพศ ว่าเป็นเรื่องสำคัญและยิ่งใหญ่ในชีวิตที่แสดงถึงความเป็นชายชาตรีที่สมบูรณ์ ดังนั้น เมื่อผู้ชายยุคนี้มีปัญหาเรื่องสมรรถภาพทางเพศลดลงเพิ่มมากขึ้น (อันเนื่องมาจากวัยและปัจจัยอื่นๆ) เรื่องของผู้ชายวัยทองจึงถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุย และกล่าวถึงกันมากในช่วง ๒-๓ ปีที่ผ่านมา ถึงขนาดที่องค์การอนามัยโลกได้ให้การสนับสนุนจัดตั้งชมรมผู้ชายวัยทองนานาชาติขึ้น โดยมีนายแพทย์บรูโน ลูเนนเฟลด์ สูตินรีแพทย์ชื่อดังชาวอิสราเอล เป็นประธานชมรม
ในบ้านเราตอนนี้เรื่องผู้ชายวัยทองกำลังได้รับความสนใจมากเช่นกัน บางคนสงสัยว่าผู้ชายไม่ได้มีประจำเดือนสักหน่อย ทำไมถึงเรียกว่าเป็นวัยหมดประจำเดือนเหมือนผู้หญิงด้วยล่ะ บ้างก็ยังไม่อยากยอมรับว่าตัวเองได้ย่างเข้าสู่วัยเสื่อมถอยแล้ว (แม้ภายนอกจะดูหนุ่มอยู่เพราะเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย) แต่สุดท้ายก็หนีความจริงไปไม่ได้ว่าทุกคนต้องแก่กันทั้งนั้น อยู่ที่จะช้าหรือเร็ว หรือแต่ละคนดูแลตัวเองดีมากน้อยแค่ไหน
อาการวัยทอง : ผู้หญิง-ผู้ชายไม่ต่างกัน
การเปลี่ยนแปลงชีวิตสู่วัยทองของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน ในทางการแพทย์เชื่อว่าถ้าพ่อแม่เข้าสู่วัยทองเร็ว ลูกๆ ก็ถึงวัยทองเร็วกว่าปกติด้วย โดยเฉลี่ยผู้หญิงจะเข้าสู่วัยทองระหว่างอายุประมาณ ๔๘-๕๒ ปี และสำหรับผู้ชายเองก็ไม่ได้แตกต่างจากผู้หญิงมากนัก ฮอร์โมนเอสโตรเจนของผู้หญิงสร้างจากรังไข่ เมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนที่ฮอร์โมนขาดไปและไม่มีการตกไข่ ทางการแพทย์จะเรียกหญิงวัยทองว่า เมโนพอส (menopause) ส่วนผู้ชาย ฮอร์โมนแอนโดรเจนจะสร้างจากอัณฑะและมีมากในวัยเจริญพันธุ์ เมื่ออายุมากขึ้นฮอร์โมนแอนโดรเจนจะน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจของผู้ชาย (ทันทีหรือค่อยเป็นค่อยไป) ไม่แตกต่างไปจากผู้หญิง ทางการแพทย์เรียกผู้ชายวัยทองว่า "แอนโดรพอส" (andropause)
อาการที่พบได้ในผู้ชายวัยทอง คือ เครียด หงุดหงิด โกรธง่ายเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เหงื่อออกมาก สมาธิลดลง นอนไม่ค่อยหลับ กำลังวังชาลดลง โครงสร้างของร่างกาย เช่น กระดูกต่างๆ เริ่มเสื่อมถอย (แม้จะไม่ชัดเจนเหมือนผู้หญิง) มีความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ กระดูกพรุน ต่อมลูกหมากโต ปัสสาวะออกลำบาก สมรรถภาพทางเพศลดลง ซึ่งเรื่องนี้แหละที่ผู้ชายส่วนใหญ่วิตกกังวลกันมากเป็นพิเศษ การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของผู้ชายวัยทองที่เห็นได้ชัดอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ การเผาผลาญไขมันจะลดลง จึงทำให้มีไขมันส่วนเกินได้ง่าย ดังนั้นผู้ชายวัยทองจึงมักจะลงพุง กล้ามเนื้อลีบเล็กลง แข็งแรงน้อยลง และผมบางมากขึ้น
ปัจจัยที่ทำให้ฮอร์โมนเพศชายลดลงเร็วกว่าปกติ
นอกจากอายุซึ่งเป็นปัจจัยทางธรรมชาติที่ทำให้ระดับฮอร์โมนเพศชายลดลงแล้ว ปัจจุบันยังมีปัจจัยเสริมอื่นๆ อีกมากมายที่ทำให้ผู้ชายเข้าสู่วัยทองเร็วกว่าปกติ นั่นคือ
- การทำงานหนัก และพักผ่อนน้อย
- มีความเครียดตลอดเวลา
- ความอ้วน
- การขาดสารอาหารบางชนิด (เช่น แร่ธาตุสังกะสี เบต้าแคโรทีน)
- การดื่มเหล้า สูบบุหรี่
- มีโรคเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน ความดันเลือดสูง ไตวาย ฯลฯ)
- การกินยาบางชนิด (เช่น ยารักษาไทรอยด์)
- การออกกำลังกายที่มากเกินไป เป็นต้น
สรุปได้ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้ร่างกายเสื่อมถอยเร็ว จะทำให้มีการหมดฮอร์โมนเร็วขึ้นด้วยเช่นกัน
ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ชายวัยทอง
ฮอร์โมนเพศชายมีหน้าที่ช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย ทำให้การกระจายตัวของไขมันเป็นปกติ เมื่อฮอร์โมนดังกล่าวลดลง จะทำให้ไขมันในเลือดสูง หลอดเลือดอุดตันได้ง่าย ดังนั้นผู้ชายวัยทองจึงมักจะลงพุง และเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกี่ยวกับระบบหลอดเลือด (โรคหัวใจ อัมพาต) ได้มาก ขณะเดียวกันฮอร์โมนเพศที่ลดลง จะทำให้ผู้ชายมีอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ไม่มีอารมณ์ที่จะมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งถ้าหากผู้ชายคนไหนที่ยึดถือเอาเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญยิ่งใหญ่ในชีวิต ภาวะดังกล่าว ก็จะมีผลต่อจิตใจ ความรู้สึก และการดำเนินชีวิตครอบครัวมากทีเดียว โดยเฉพาะถ้าไม่มีการพูดคุยให้เข้าใจกันทั้ง ๒ ฝ่าย ในระยะยาวผลของการขาดฮอร์โมนเพศชายจะทำให้กระดูกบางลง เป็นโรคกระดูกพรุนได้เช่นเดียวกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนทำให้เกิดภาวะกระดูกหักได้ง่าย กล้ามเนื้อจะค่อยๆ ลีบเล็กลง โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ชอบออกกำลังกาย
การรักษาอาการของผู้ชายวัยทอง
การรักษาอาการของผู้ชายวัยทองขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะบุคคล ในทางการแพทย์มีวิธีรักษาอยู่หลายวิธีด้วยกัน อันดับแรกจะเป็นการรักษาทางจิตใจก่อน ซึ่งในบางราย การพูดคุยอย่างเดียวก็สามารถ ฟื้นฟูจิตใจของผู้ป่วยได้ หรือบางรายอาจต้องใช้ยาร่วมด้วย การใช้ยาฮอร์โมนเพศชายเสริม มีตั้งแต่ชนิดกินและชนิดเจลทาผิว ฯลฯ ซึ่งหลายๆ วิธีที่กล่าวถึงนี้ ผู้ป่วยไม่ควรไปซื้อมาใช้เอง ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง เพราะอาจมีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ถ้าใช้ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เมื่อไรที่สังเกตว่า ตัวเองเริ่มมีอาการผิดปกติ หรือสงสัยว่าจะเป็นอาการของผู้ชายวัยทองหรือไม่ ขั้นแรกแนะนำว่าควรจะไปพบแพทย์ (ทางด้านอายุรกรรม : หมอตรวจโรคทั่วไป) ให้ตรวจร่างกายทั่วไปก่อนว่ามีปัญหาเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บอะไรซ่อนแฝงอยู่หรือไม่ ที่ทำให้มีผลกระทบต่อสมรรถภาพทางเพศ เช่น โรคเบาหวาน ไทรอยด์ โรคหัวใจ โรคตับ การใช้ยาบางชนิด ฯลฯ ถ้าหากไม่มีปัญหาเรื่องโรคต่างๆ สูติ-นรีแพทย์จะเป็นผู้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องครอบครัว ชีวิตคู่ และแพทย์ทางด้านยูโรวิทยา (ระบบทางเดินปัสสาวะ) จะดูแลรักษาในเรื่องการใช้ยา การเสริมซิลิโคน หรืออื่นๆ
ยืดเวลาแห่งความเป็นหนุ่มให้นานที่สุด
ถึงแม้มนุษย์จะไม่สามารถเอาชนะความเสื่อมถอยได้ แต่ก็พอมีวิธีที่จะยืดเวลาแห่งความเป็นหนุ่ม เป็นสาวให้ยืนยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ภายใต้เงื่อนไขของธรรมชาติเอง นั่นคือ
- มีวินัยในการดำเนินชีวิตที่ดี
- พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย ๖-๘ ชั่วโมง หรือหากนอนหัวค่ำได้จะยิ่งดี เพราะฮอร์โมนเพศชายจะสร้างตอนกลางคืน
- งดสูบบุหรี่ และดื่มเหล้า ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายแทบทุกระบบ
- กินอาหารที่มีประโยชน์ ถูกสัดส่วน ไม่มากหรือน้อยเกินไป กินอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และ ไขมันให้น้อยที่สุด
- มองโลกในแง่ดี พยายามอย่าให้มีความเครียด
- ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ
หลายคนคงทราบดีถึงกฎธรรมชาติข้อหนึ่ง นั่นคือ อวัยวะใดก็ตาม ถ้าหากไม่มีการใช้งานหรือใช้ประโยชน์ จะเสื่อมลงเรื่อยๆ แต่ถ้าหากมีการใช้งานคือออกกำลังกายเป็นประจำ จะทำให้ร่างกาย แข็งแรง ปอดแข็งแรง ระบบประสาทตื่นตัวตลอดเวลา ร่างกายกระฉับกระเฉง สมรรถภาพทางเพศไม่เสื่อมถอยเร็วกว่าวัยอันควร แต่ดูเหมือนวิธีง่ายๆ ที่ได้ผลที่สุด กลับมีคนปฏิบัติตามได้น้อย ส่วนใหญ่มักจะละเลยตัวเองจนเกิดปัญหา แล้วจึงค่อยหาวิธีแก้ไขภายหลัง ซึ่งหลายๆ ครั้ง หลายๆ กรณีบางทีก็สายเกินแก้ไขได้ สำหรับผู้ที่สามารถจัดการกับชีวิตได้เหมาะสมลงตัว บางทีคุณอาจก้าวข้ามวัยทองของชีวิตไปโดยไม่มีปัญหาอะไรเลยก็ได้
ไข่ดิบบำรุงร่างกายจริงหรือ
ใครนิยมรับประทานไข่ดิบหรือไข่ลวกเพื่อบำรุงร่างกาย วันนี้มีข้อเท็จจริงบางอย่างที่อาจทำให้หยุดคิดว่าผลของการกระทำเช่นนั้น เป็นเรื่องจริงทางวิทยาศาสตร์หรือ
ไข่เป็นของคู่ครัวคนไทยและจัดเป็นอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง มีทั้งโปรตีน ไขมัน วิตามินเอ ธาตุเหล็ก สังกะสี แต่การที่จะกินไข่ให้ได้ประโยชน์ต้องรู้จักกินครับ เพราะในไข่ขาวที่ไม่สุกหรือสุกๆ ดิบๆ จะมีสารที่ชื่อว่า อะวิดิน (avidin) สารตัวนี้จะไปจับวิตามินไบโอติน (biotin) ซึ่งเป็นวิตามินบีชนิดหนึ่ง ทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการขาดไบโอตินได้ นอกจากนี้การกินไข่ดิบหรือไข่ขาวสุกๆ ดิบๆ อาจทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย คือย่อยยาก ทำให้กระเพาะอาหารต้องทำงานหนัก
ความเชื่อที่ว่ากินไข่ดิบหรือไข่ลวกสุกๆ ดิบๆ เป็นประจำจะทำให้ร่างกายแข็งแรง มีกำลังวังชานั้น คงต้องเลิกเชื่อกันได้แล้วครับ
ตลาดร่มหุบ
ตลาดร่มหุบ หรืออีกชื่อหนึ่งว่า ตลาดแม่กลอง แต่ชาวบ้านมักจะเรียกว่า ตลาดเสี่ยงตายเป็นตลาดที่ติดอยู่กับ สถานีรถไฟแม่กลอง และก็เป็นส่วนหนึ่งของตลาดเทศบาลจังหวัดสมุดสงคราม
ตลาดร่มหุบ เริ่มมาตั้งขาย บริเวณทางริมรถไฟประมาณปี พ.ศ. 2527 เป็นตลาดที่อยู่บนทางรถไฟ สายแม่กลอง-บ้านแหลมพ่อค้า-แม่ค้า ตั้งแผงสองข้างทางรถไฟ ส่วนลูกค้าก็อาศัยทางรถไฟเป็นถนน สำหรับจับจ่ายซื้อของ นักท่องเที่ยวหลายคน ใช้ วิธีท่องเที่ยว โดยการมาขึ้น รถไฟที่สถานีรถไฟบ้านแหลม มายังสถานีรถไฟแม่กลอง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ กระจาด กระบุง ตะกร้า จะถูกจัดวางเข้าๆออกๆ อย่างเป็นระเบียบและรวดเร็วภายในพริบตา รถไฟขบวนนี้เป็น สายสั้น จากสถานีมหาชัยถึงสถานีแม่กลอง เมื่อได้ยินเสียงระฆังหรือธงที่โบกสะบัด จากนายสถานี ก็เริ่มจับตา มอง ต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เรียกได้ว่าเป็นงาน ประจำของพ่อค้าแม่ขายทั้งหลายเหล่านี้ แต่เป็นเสน่ห์ และความสนุกสนานของบรรดานักท่องเที่ยวนั่นเองเมื่อรถไฟผ่านไป ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิม
ตลาดร่มหุบ เริ่มมาตั้งขาย บริเวณทางริมรถไฟประมาณปี พ.ศ. 2527 เป็นตลาดที่อยู่บนทางรถไฟ สายแม่กลอง-บ้านแหลมพ่อค้า-แม่ค้า ตั้งแผงสองข้างทางรถไฟ ส่วนลูกค้าก็อาศัยทางรถไฟเป็นถนน สำหรับจับจ่ายซื้อของ นักท่องเที่ยวหลายคน ใช้ วิธีท่องเที่ยว โดยการมาขึ้น รถไฟที่สถานีรถไฟบ้านแหลม มายังสถานีรถไฟแม่กลอง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ กระจาด กระบุง ตะกร้า จะถูกจัดวางเข้าๆออกๆ อย่างเป็นระเบียบและรวดเร็วภายในพริบตา รถไฟขบวนนี้เป็น สายสั้น จากสถานีมหาชัยถึงสถานีแม่กลอง เมื่อได้ยินเสียงระฆังหรือธงที่โบกสะบัด จากนายสถานี ก็เริ่มจับตา มอง ต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เรียกได้ว่าเป็นงาน ประจำของพ่อค้าแม่ขายทั้งหลายเหล่านี้ แต่เป็นเสน่ห์ และความสนุกสนานของบรรดานักท่องเที่ยวนั่นเองเมื่อรถไฟผ่านไป ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิม
และถ้าใครอยากมาเที่ยวที่นี่ เพื่อดูร่มหุบแล้วล่ะก็ คงต้องมากันให้ถูกเวลา กำหนดเวลาเดินรถไฟสายแม่กลอง- บ้านแหลม เวลาเข้า-ออก (จำนวน 2 โบกี้) คือ ออก : 6.20 น.,9.00 น. ,11.30 น.,15.30 น. เข้า :8.30 น. 11.10 น.15.30 น. แน่นอนว่าเมื่อมีโอกาสมาตลาดแม่กลองแล้ว อาหารที่ขึ้นชื่อว่าอร่อยติดอันดับนั่นก็คือ ปลาทูหน้างอ คอหัก ที่ต้องบอกว่าอร่อยที่สุด โดยเฉพาะหน้าหนาว
วันศุกร์
สถานที่ท่องเที่ยวอำเภอแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
เป็นที่ประทับแปรพระราชฐานเพื่อทรงงานของสมเด็จย่า มีพิธีลงเสาเอกเมื่อ 23 ธันวาคม 2530 ปลูกแบบง่ายๆ ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ พระตำหนักสร้างด้วยไม้ทั้งหลังโดยมีโครงเหล็กอยู่ภายใน ไม้ในการสร้างเป็นไม้ลังใส่สินค้าที่การท่าเรือฯ คลองเตย ทูลเกล้าถวายแด่สมเด็จย่า เมื่อสร้างออกมาแล้วสวยงามยิ่งนัก รูปแบบการสร้างเป็นการผสมผสานสถาปัตยกรรมล้านนากับบ้านพื้นเมืองสวิตเซอร์แลนด์ ที่เพดานห้องโถงทำเป็นเพดานดาว บริเวณด้านหลังพระตำหนักมีระเบียงยืนออกไป เมื่อยืนที่ระเบียงจะเห็นทัศนียภาพของดอยตุงที่สวยงาม บริเวณขอบระเบียงมีกระบะปลูกไม้ดอกที่มีสีสันสวยงาม พระตำหนักเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม โดยจะต้องมีมัคคุเทศก์ของพระตำหนักเป็นผู้นำเยี่ยมชม
อัตราค่าธรรมค่าเข้าชม ท่านละ 70 บาท ( หรือ 150 บาทรวม 3 สวนแม่ฟ้าหลวง+พระตำหนักดอยตุง+หอพระราชประวัติ )
การเดินทาง จากตัวเมืองเชียงรายใช้เส้นทางสาย 110 เป็นเส้นทางที่มุ่งสู่แม่สาย ประมาณ กม. 870-871 เลี้ยวซ้ายขึ้นดอย 17 กม. ถึงพระตำหนักดอยตุง
สวนแม่ฟ้าหลวง หรือสวนดอยตุง เป็นสวนไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาวบนพื้นที่ 25 ไร่ อยู่ในแอ่งที่ราบด้านทิศเหนือของพระตำหนัก สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2534 ภายในสวนถูกตกแต่งด้วยพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับสวยงาม ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนออกดอกตลอดปี กลางสวนมีประติมากรรมเด็กยืนต่อตัว งานประติมากรรมนี้ได้รับพระราชทานชื่อว่า " ความต่อเนื่อง " นอกจากแปลงไม้ประทับกลางแจ้งแล้วยังมีโรงเรือนไม้ในร่ม จุดเด่นคือกล้วยไม้จำพวกรองเท้านารีชนิดต่างๆ ที่มีดอกสวยงามมาก ความภาพความสวยงามของสวนแม่ฟ้าหลวง
ค่าธรรมเนียมการเข้าชม ท่านละ 80 บาท ( หรือ 150 บาทรวม 3 สวนแม่ฟ้าหลวง+พระตำหนักดอยตุง+หอพระราชประวัติ )
ตั้งอยู่บนดอยช้างมูบ ห่างจากพระตำหนักดอยตุงไปทางด้านพระธาตุดอยตุงประมาณ 7 กิโลเมตร บริเวณนี้แต่เดิมเรียกว่าดอยช้างมูบ มีสภาพเป็นป่าเสื่อมโทรมเพราะถูกทำลายเพื่อทำไร่เลื่อยลอย ในบริเวณนี้มีทัศนียภาพที่งดงาม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงได้ทำการปรับปรุงพื้นที่ปลูกป่าและได้สร้างสวนรุกชาติขึ้นในพื้นที่ 250 ไร่ ได้รวบรวมพันธุ์ไม้สวยงามไว้หลายชนิด โดยเฉพาะอยางยิ่งพันธุ์ไม้จำพวกกุหลาบฟันปีมีปลูกไว้จำนวนมาก ไม่มีที่ไหนอีกแล้วที่จะมีกุหลาบฟันปีหลากหลายสายพันธุ์เท่ากับสวนรุกชาติแห่งนี้ ในฤดูหนาวจะออกดอกสวยงามมาก นอกจากนี้ยังมีจุดชมวิวที่เห็นวิวที่สวยงามอีกด้วย แต่น่าเสียดายเพราะนักท่องเที่ยวไม่ค่อยจะได้มีโอกาสมาแวะกันเพราะบางส่วนไม่รู้จัก บางส่วนมากับทัวร์แล้วทัวร์พาเที่ยวแว๊บๆ ไม่มีเวลา
ค่าธรรมเนียมการเข้าชม ท่านละ 50 บาท
เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คูบ้านคู่เมืองเชียงราย ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของดอยตุง เป็นเจดีย์แห่งแรกของล้านนา สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอุชุตราช ราวปี พ.ศ.1454 เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากอินเดีย แต่เดิมนั้นมีพระธาตุองค์เดียว ต่อมาในสมัยพญมังรายแห่งราชวงค์มังรายได้สร้างพระธาตุขึ้นอีกองค์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่พระมหาวชิรโพธิเถระนำมาถวาย พระธาตุจึงมีสององค์ พระธาตุทั้งสององค์มีสภาพชำรุดทรุดโทรมจึงได้บูรณะขึ้นใหม่โดยการสร้างพระธาตุองค์ใหม่ครอบพระธาตุองค์เดิมในปี พ.ศ. 2516 พระธาตุดอยตุงในปัจจุบันจึงดูมีสภาพใหม่และสวยงาม การเข้าไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ควรแต่งกายสุภาพเหมาะสมกับสถานที่ :ซึ่งเป็นที่เคารพของคนในท้องถิ่นถือ การแต่งกายแบบเซ็กซี่เป็นความไม่เหมาะสม ควรจะแต่งตัวให้เรียบร้อยถึงแม้จะไปเพียงแค่ไปถ่ายรูปก็ตาม
อัตราค่าธรรมค่าเข้าชม ท่านละ 70 บาท ( หรือ 150 บาทรวม 3 สวนแม่ฟ้าหลวง+พระตำหนักดอยตุง+หอพระราชประวัติ )
การเดินทาง จากตัวเมืองเชียงรายใช้เส้นทางสาย 110 เป็นเส้นทางที่มุ่งสู่แม่สาย ประมาณ กม. 870-871 เลี้ยวซ้ายขึ้นดอย 17 กม. ถึงพระตำหนักดอยตุง
สวนแม่ฟ้าหลวง หรือสวนดอยตุง เป็นสวนไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาวบนพื้นที่ 25 ไร่ อยู่ในแอ่งที่ราบด้านทิศเหนือของพระตำหนัก สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2534 ภายในสวนถูกตกแต่งด้วยพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับสวยงาม ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนออกดอกตลอดปี กลางสวนมีประติมากรรมเด็กยืนต่อตัว งานประติมากรรมนี้ได้รับพระราชทานชื่อว่า " ความต่อเนื่อง " นอกจากแปลงไม้ประทับกลางแจ้งแล้วยังมีโรงเรือนไม้ในร่ม จุดเด่นคือกล้วยไม้จำพวกรองเท้านารีชนิดต่างๆ ที่มีดอกสวยงามมาก ความภาพความสวยงามของสวนแม่ฟ้าหลวง
ค่าธรรมเนียมการเข้าชม ท่านละ 80 บาท ( หรือ 150 บาทรวม 3 สวนแม่ฟ้าหลวง+พระตำหนักดอยตุง+หอพระราชประวัติ )
ตั้งอยู่บนดอยช้างมูบ ห่างจากพระตำหนักดอยตุงไปทางด้านพระธาตุดอยตุงประมาณ 7 กิโลเมตร บริเวณนี้แต่เดิมเรียกว่าดอยช้างมูบ มีสภาพเป็นป่าเสื่อมโทรมเพราะถูกทำลายเพื่อทำไร่เลื่อยลอย ในบริเวณนี้มีทัศนียภาพที่งดงาม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงได้ทำการปรับปรุงพื้นที่ปลูกป่าและได้สร้างสวนรุกชาติขึ้นในพื้นที่ 250 ไร่ ได้รวบรวมพันธุ์ไม้สวยงามไว้หลายชนิด โดยเฉพาะอยางยิ่งพันธุ์ไม้จำพวกกุหลาบฟันปีมีปลูกไว้จำนวนมาก ไม่มีที่ไหนอีกแล้วที่จะมีกุหลาบฟันปีหลากหลายสายพันธุ์เท่ากับสวนรุกชาติแห่งนี้ ในฤดูหนาวจะออกดอกสวยงามมาก นอกจากนี้ยังมีจุดชมวิวที่เห็นวิวที่สวยงามอีกด้วย แต่น่าเสียดายเพราะนักท่องเที่ยวไม่ค่อยจะได้มีโอกาสมาแวะกันเพราะบางส่วนไม่รู้จัก บางส่วนมากับทัวร์แล้วทัวร์พาเที่ยวแว๊บๆ ไม่มีเวลา
ค่าธรรมเนียมการเข้าชม ท่านละ 50 บาท
เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คูบ้านคู่เมืองเชียงราย ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของดอยตุง เป็นเจดีย์แห่งแรกของล้านนา สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอุชุตราช ราวปี พ.ศ.1454 เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากอินเดีย แต่เดิมนั้นมีพระธาตุองค์เดียว ต่อมาในสมัยพญมังรายแห่งราชวงค์มังรายได้สร้างพระธาตุขึ้นอีกองค์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่พระมหาวชิรโพธิเถระนำมาถวาย พระธาตุจึงมีสององค์ พระธาตุทั้งสององค์มีสภาพชำรุดทรุดโทรมจึงได้บูรณะขึ้นใหม่โดยการสร้างพระธาตุองค์ใหม่ครอบพระธาตุองค์เดิมในปี พ.ศ. 2516 พระธาตุดอยตุงในปัจจุบันจึงดูมีสภาพใหม่และสวยงาม การเข้าไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ควรแต่งกายสุภาพเหมาะสมกับสถานที่ :ซึ่งเป็นที่เคารพของคนในท้องถิ่นถือ การแต่งกายแบบเซ็กซี่เป็นความไม่เหมาะสม ควรจะแต่งตัวให้เรียบร้อยถึงแม้จะไปเพียงแค่ไปถ่ายรูปก็ตาม
วันพฤหัสบดี
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)